“ณ แผ่นดินชวาสมัยโบราณ....
มีนครใหญ่แห่งหนึ่งชื่อเมืองหมันหยา มีระตูปกครองสืบต่อกันมาจนถึงระตูองค์หนี่งทรงมีธิดา สาวสวยถึง 4 พระองค์ อยู่มาวันหนึ่งได้บังเกิดพระขรรค์กับธงผุดขึ้นมาที่กลางพระลานอย่างมหัศจรรย์ ตั้งแจ่นั้นในเมืองหมันหยาก็มีแต่ความเดือดร้อน ผู้คนอดอยาก มีการวิวาท ฆ่าฟันกันตายไปทั่วทั้งเมือง ระตูหมันหยาร้อนใจมาก สั่งให้ทหารไปจัดการถอนธงกับพนะขรรค์ขึ้นมาเสีย แต่ไม่สำเร็จจึงให้ป่าว ประกาศไปทั่วแคว้นชวาว่า แม้นผู้ใดสามารถถอนพระขรรค์และธงได้จะแบ่งเมืองให้ครองครึ่งหนึ่งพร้อม กับยกธิดาของพระองค์ให้ด้วย กษัตริย์เมืองต่าง ๆ ทราบข่าวก็ยกทัพมาเมืองหมันหยา ทว่าไม่มีกษัตริย์องค์ ใดสามารถถอนของ 2 สิ่งได้
ขณะนั้นมีเทวดาสี่พี่น้องสถิตอยู่บนเขาไกรลาสทราบว่า มีเหตุวิปริตเกิดขึ้นที่เมืองหมันหยา จึงแปลง เป็นมนุษย์หนุ่มรูปงามเข้าไปร่วมชุมนุมปะปนอยู่กับกษัตริย์เมืองต่าง ๆ ในเมืองหมันหยาด้วย เทวดาแปลง ทั้งสี่เข้าไปถอนพระขรรค์กับธงขึ้นมาได้อย่างง่ายดายเหตุร้ายทั้งหลายก็ยุติลงทันที ระตูหมันหยาจึงยก ราชสมบัติกับธิดาให้ตามสัญญา แต่เทวดาทั้งสี่ขอรับเพียงธิดาของระตูเท่านั้น จากนั้นทั้งสี่ก็แยกกันไป เนรมิตรเมืองใหม่ขึ้นสี่แห่งคือ กรุงกุเรปัน, กรุงดาหา, กรุงกาหลัง และกรุง สิงหัดส่าหรี แล้วต่างก็ตั้งตนเป็น กษัตริย์วงส์อสัญแดหวาปกครองบ้านเมืองสืบต่อกันมาจนถึงกษัตริย์ สี่พี่น้องร่วมพระบิดาพระมารดาเดียวกัน องค์ที่เป็นพี่ใหญ่ครองกรุงกุเรปัน องค์ที่สองครองกรุงดาหา องค์ที่สามครองกรุงกาหลัง และ องค์ที่สี่ครอง กรุงสิงหัดส่าหรี
ส่วนทางเมืองหมันหยาก็มีระตูปกครองต่อมาอีกหลายองค์จนถึงระตูองค์หนึ่งมีธิดาโฉมงาม 3 องค์ องค์โตชื่อนิหราอระตา ได้เป็นประไหมสุหรีของท้าวกุเรปัน องค์ที่ 2 ชื่อดาหราวาตีเป็นประไหมสุหรี ีของ ท้าวดาหา ส่วนองค์ที่ 3 ชื่อจินดาส่าหรีได้วิวาห์กับโอรสของท้าวมังกัน ซึ่งเมื่อเสร็จพิธีวิวาห์แล้วโอรสของ ท้าวมังกันก็ได้เป็นระตูครองเมืองหมันหยาแทน ระตูหมันหยาองค์เก่าที่สิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว จินดาส่าหรี จึงได้เป็นประไหมสุหรีแห่งเมืองหมันหยา
ท้าวกุเรปันได้โอรสองค์แรกซึ่งประสูติจากลิกูมเหสีที่ 4 ชื่อกะหรัดตะปาตี แต่พระองค์ปราถนา โอรสจาก ประไหมสุหรีมเหสีเอก เพื่อให้เป็นกษัตริย์ครองกรุงกุเรปันแทนพระองค์ต่อไปจึงทำพิธี บวงสรวงเทวดา หลักเมืองไม่นานต่อมาประไหมสุหรีนิหลาอระตาก็ทรงครรภ์และประสูติพระโอรส รูปร่างลักษณะงดงาม องค์ปะตาระกาหลาเทวดาผู้เป็นบรรพบุรุษของวงศ์อสัญแดหวาได้ประทานกริช ให้เป็นของขวัญโดยจารึก ชื่อไว้ที่กริชว่า "หยังหยังหนึ่งหรัดอินดรา อุดากันส่าหรีปาตี อิเหนาเอง หยังตาหลา เมาะตาริยะกัดดังสุรศรี ดาหยังอริราชไพรี เองกะนะกะหรีกุเรปัน" แต่มามักเรียกกันสั้นๆว่า "อิเหนา"หรือ "ระเด่นมนตรี"
ทางด้านกรุงดาหานั้นประไหมสุหรีดาหราวาตี ได้ประสูติธิดาสิริโฉมงดงาม มีนามว่า "บุษบาหนึ่ง หรัด" ซึ่งท้าวกุเรปันได้ขอตุนาหงันไว้เป็นคู่หมั้นของอิเหนา และอีก 5 ปีต่อมาประไหมสุหรีก็ประสูติ พระโอรส องค์ปะตาระกาหลาประทานกริชจารึก ชื่อ"สียะตรา" ให้เป็นของขวัญ
ต่อมาพระมารดาของประไหมสุหรีแห่งกรุงกุเรปันกับประไหมสุหรีแห่งกรุงดาหาสิ้นพระชนม์ ท้าวกุเรปันกับท้าวดาหาพร้อมใจกันมอบหมายให้อิเหนาซึ่งอายุได้ 15 ปีแล้ว เป็นตัวแทนของพระองค์เดิน ทางไปร่วมงานพระศพ อิเหนาได้พบจินตะหราวาตี ธิดาของระตูหมันหยาก็หลงรักจนไม่ยอมกลับ กระทั่งท้าวกุเรปันมีหนังสือสั่งให้รีบกลับกรุงกุเรปันภายใน 7 วัน เพราะพระมารดาครรภ์แก ่จวนประสูติ ิแล้ว อิเหนาจำใจจากเมืองหมันหยามา แต่เมื่อถึงกรุงกุเรปันก็ปรากฏว่า พระมารดาประสูติธิดา แล้วได้นามว่า "วิยะดา" และท้าวดาหาได้ขอตุนาหงันให้กับสียะตรา น้องชายของบุษบาหนึ่งหรัด ในเวลาต่อมา
ท้าวกุเรปันจะจัดพิธีวิวาห์ให้อิเหนากับบุษบา แต่อิเหนาหลงรักจินตะหราอยู่ จึงออกอุบายลาพระบิดา ไปเที่ยวป่าแล้วปลอมตัวเป็นชาวป่าเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "มิสารปันหยี" ทหารที่ติดตามไปก็ปลอมตัวและ เปลี่ยนชื่อใหม่ทั้งหมด จากนั้นก็เดินทางมุ่งหน้าไปเมืองหมันหยาระหว่างทางอิเหนาให้หยุดพักที่เชิงเขา ปะราปีประสันตาพี่เลี้ยงคนหนึ่งของอิเหนาพาลูกน้องไปต่อนกในป่าแล้วมีเรื่องวิวาทกับทหารของระตู บุศสิหนา ซึ่งพาระเด่นดรสาเดินทางมาจากเมืองปะตาหรำหลังจากเสร็จพิธีวิวาห์ ลูกน้องของปะสันตา บาดเจ็บจึงพากันล่าถอยกลับไปเล่าให้อิเหนาฟัง อิเหนาจึงไปต่อสู้กับระตูบุศสิหนาและฆ่าระตูบุศสิหนา ตาย พี่ชายสองคนของระตูบุศสิหนาคือระตูปันจะรากันและระตูปักมาหงัน ซึ่งกำลังสนทนาอยู่กับฤาษี สังปะติเหงะอยู่บนเขาได้ทราบก็เตรียมจะลงมาแก้แค้น แต่ฤาษีทักท้วงไว้และบอกให้ทราบว่าปันหยีคือ อิเหนาโอรสของท้าวกุเรปัน ทำให้ระตูทั้งสองเกรงขามรีบจัดเครื่องราชบรรณการไปมอบให้อิเหนาพร้อม กับมอบโอรสธิดาของตนให้ด้วย คือระตูปันจะรากันมีธิดาชื่อสะการะวาตี ระตูปักมาหงันมีธิดาชื่อ สังคามาระตา แล้วระตูทั้งสองก็จดการเผาศพระตูบุศสิหนาที่เชิงเขาปะราปีนั่นเอง ระเด่นดรสาเสียใจมาก จึงเผาตัวตายตามสามีไป
อิเหนาให้เคลื่อนทัพไปจนถึงเมืองหมันหยา ระตูมันหยาให้จัดประสาทหลังหนึ่งเป็นที่พักของอิเหนา คืนหนึ่งอิเหนาได้ลอบไปหาจินตะหราและได้นางเป็นภรรยา และต่อมาก็ได้มาหยารัศมีและสะการะวาตีเป็นภรรยาด้วย
ฝ่ายท้าวดาหาให้ซ่อมแซมตกแต่งพระนครเพื่อเตรียมจัดพิธีวิวาห์ระหว่างอิเหนากับบุษบาเรียบร้อยแล้วก็ส่งข่าวไปทูลท้าวกุเรปันเพื่อให้กำหนดวัน ท้าวกุเรปันรีบส่งหนังสือไปเรียกอิเหนากลับจากเมืองหมันหยาแต่อิเหนาไม่ยอมกลับมิหนำซ้ำยังขอถอนหมั้นด้วย ทำให้ท้าวดาหาทั้งโกรธทั้งอับอาย จึงลั่นวาจาว่าถ้าใครมาขอบุษบามิว่าจะเป็นไพร่ต่ำศักดิ์หรือพระยามหา กษัตริย์ก็ตามพระองค์จะยกให้ทันที
กล่าวถึงระตูจรกา ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์แต่อยากได้หญิงสาวที่มีความงามล้ำเลิศที่สุดของแผ่น ดินชวามาเป็นคู่ครอง จึงส่งช่างเขียนภาพไปวาดภาพธิดาของท้าวดาหากับท้าวสิงหัดส่าหรีมาให้ดู ช่างเขียนภาพไปวาดภาพบุษบามาได้ 2 ท่า แต่ระหว่างที่เดินทางกลับองค์ปะตาระกาหลาได้แอบมาขโมย รูปบุษบาไปรูปหนึ่งในขณะที่ช่างเขียนนอนหลับอยู่กลางป่า
โปรดติดตามตอนต่อไป